“แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ” ประโยคนี้จากบทเพลง ค่าของน้ำนม (บุตรขัน, 2492) สะท้อนถึงความรักและการเสียสละของแม่ด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง จนสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าของร่างกายที่อุทิศให้แก่ลูก ความหมายนี้สามารถตีความได้ในหลายมิติ บ้างอาจเห็นว่าเป็นเพียงคำสรรเสริญ แต่ถ้าเรามองผ่านทฤษฎีการผลิตซ้ำทางสังคมของแนนซี่ เฟรเซอร์ (2017) จะพบว่าการเลี้ยงดูลูกเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ภายใต้โครงสร้างของครอบครัวที่มุ่งสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อเข้ารับใช้ตลาดแรงงานโดยไม่มีค่าตอบแทน ซิลเวีย เฟรเดริชีจึงกล่าวไว้ได้ตรงจุดว่า “พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่าความรัก แต่เรามองว่านี่คืองานที่ไม่มีค่าจ้าง” (Federici, 1975) ความเหน็ดเหนื่อยของการทำงานสองด้านทั้งหารายได้และดูแลบ้านจนร่างกายผ่ายผอมสะท้อนถึงการที่แม่ได้ทิ้งความต้องการของตนเองไปเพื่อให้ลูกได้เติบโตขึ้นในอ้อมกอดที่อบอุ่น (Gotby, 2023, หน้า 15)
ในอีกมุมหนึ่ง เพลงนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการที่รัฐและหน่วยงานเอกชนร่วมมือกันเสริมสร้างความเข้มข้นของสายสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างแม่กับลูก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากโครงสร้างที่เอื้อต่อประโยชน์ของรัฐและตลาด เพลงนี้ถูกใช้ในโรงเรียนทั่วประเทศในวันแม่แห่งชาติซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บรรยากาศที่เด็กนักเรียนกราบแม่และมอบพวงมาลัยให้แม่ (หรือแม้แต่การล้างเท้าในบางงาน) เพิ่มความซาบซึ้งที่มักพาให้หลายคนเสียน้ำตา ในพิธีนี้แม่ไม่ได้เป็นแค่ผู้ดูแล แต่เป็นเหมือนนักบุญที่เสียสละโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งหมายความว่าลูก ๆ มีพันธะทางใจที่ลึกซึ้งและผูกมัดเรียกว่า กตัญญู ที่ต้องตอบแทนไปตลอดชีวิต

การสร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งเช่นนี้เป็นเสมือนเครื่องมือของรัฐเพื่อค้ำจุนบทบาทของผู้หญิงและครอบครัว ส่งผลให้เกิดแนวคิด “วิกฤตแห่งการดูแล” ในคำกล่าวของแนนซี่ เฟรเซอร์ ความรักในครอบครัว โดยเฉพาะความรักของแม่ มักถูกมองว่าเป็นสิ่ง ‘ธรรมชาติ’ และ ‘เยียวยา’ ดั่งหัวใจที่ให้ความอบอุ่นในโลกที่เย็นชาและแห้งแล้งของระบบทุนนิยม (เฟรเซอร์, 2017, หน้า 27) ความรักที่แม่แสดงออก เช่น การให้นม การกอดอุ่น การปลอบโยนเมื่อเด็กร้องไห้ เป็นสิ่งที่ไม่มีค่าในระบบตลาด เพราะไม่ได้รับการตอบแทนด้วยเงินทองและถูกมองว่าเป็นหน้าที่อันลึกซึ้งของความเป็นแม่ ความรักของแม่จึงกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีเงื่อนไขหรือคำตอบแทนใด ๆ (เฟรเซอร์, 2017, หน้า 21)
ในขณะที่มุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งในด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองในสามยุคสมัย อารมณ์ ซึ่งเป็นแง่มุมสำคัญในแนวคิดสตรีนิยมร่วมสมัย กลับไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในบทความของแนนซี เฟรเซอร์ อาจมีคนตีความการขาดเรื่องอารมณ์นี้ว่าเป็น “ศาสตร์ที่มีความเป็นชายอย่างล้นหลาม” อย่างไรก็ตาม ฉันอยากจะอภิปรายว่าอารมณ์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นแม่ก็มีความขัดแย้งในตัวเองเช่นกัน ในด้านหนึ่ง ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการสืบทอดทางสังคม เช่น ภรรยาและแม่ ประสบกับอารมณ์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งบางครั้งก็สอดคล้องกับบทบาทที่ได้รับหรือบางครั้งก็ไม่เกี่ยวข้องเลย ดังนั้นการทำความเข้าใจประสบการณ์ชีวิตของผู้ดูแลเหล่านี้ควรจะคำนึงถึงอารมณ์ด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง อารมณ์อาจดูเหมือนเป็นการตอบสนองบริสุทธิ์ต่อสถานการณ์โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจอื่น ๆ แต่ในความเป็นจริง อารมณ์มักจะปนเปื้อนอุดมการณ์และยังคงอยู่ภายใต้โครงสร้างทางสังคมอย่างราบรื่น (Gotby 2023, หน้า 2) วิธีที่อุดมการณ์ของครอบครัวมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเราอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดสายสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก
ตัวอย่างเช่น เมื่อแม่ตะโกนว่า “แม่อุ้มท้องมา 9 เดือน ทำไมถึงทำให้แม่ผิดหวัง!” นี่อาจสะท้อนถึงความโกรธที่ถูกกดทับจากความคาดหวังให้เป็นแม่ในอุดมคติที่มีความเมตตาและประเสริฐ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสะท้อนว่าแม่มองลูกเป็นผลงานชิ้นเอกที่เธอทุ่มเทมาตั้งแต่วันที่เธอเป็นแม่ ดังนั้นลูกควรปฏิบัติตัวตามที่เธอได้หล่อหลอมมา
สายใยความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกไม่เพียงแค่ถูกผลิตซ้ำภายในครอบครัวเท่านั้น แต่ในบริบทของไทยยังได้รับการเชิดชูจากอุดมการณ์ของรัฐ องค์กร สื่อ และเรื่องเล่าทางศาสนาอีกด้วย ดังที่เห็นได้จากการจัดพิธีวันแม่แห่งชาติในทุกโรงเรียนซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมทางการศึกษาไทย วันแม่ ซึ่งเดิมเริ่มต้นขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับสุขภาพการเจริญพันธุ์และการดูแลเด็กในยุคที่รัฐไทยควบคุมดูแล ปัจจุบันได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์เป็นการเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะพระราชินีในฐานะ "แม่ของประชาชนไทย" เพื่อสร้างความชอบธรรมในการต่อต้านขั้วอำนาจคอมมิวนิสต์
ช่วงนี้เองที่การกราบซึ่งเคยถูกมองว่า “ไม่ศิวิไลศ์” ในยุคล่าอาณานิคมกลับมาในสังคมสาธารณะอีกครั้ง และได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับการส่งเสริมในสถาบันของรัฐ เช่น โรงเรียน ในทุกวันที่ 12 สิงหาคม แม่ซึ่งถูกมองในฐานะ “นางฟ้าในบ้าน” มากกว่าบทบาทของผู้สร้างประชากร ถูกบูชาในพิธีวันแม่ (ยอดหงส์ 2019)

ในช่วงพิธีวันแม่ มีศิลปะหลายรูปแบบที่เผยแพร่และรัฐมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม หนึ่งในนั้นคือดนตรี เพลงวันแม่มักเน้นเรื่องความรักหลากหลายรูปแบบที่แม่มอบให้ลูก ยกตัวอย่างเช่น เพลง คุณค่าของน้ำนม (บุตรขัน 2492) ที่เล่าถึงการเสียสละของแม่ ทั้งเลือด (น้ำนมและการให้นมลูก) เหงื่อ (การเลี้ยงดู) และน้ำตา (สายใยและอารมณ์) เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของลูก ซึ่งลูกควรจดจำการเสียสละของแม่และมีหน้าที่ตอบแทน นอกจากนี้ เพลง อิ่มอุ่น (บุญเลี้ยง 2537) เน้นถึงความอบอุ่นที่แม่มอบให้แก่ลูกผ่านการอุ้มกอดหรือปลอบโยน ขณะที่เพลง ใครหนอ (ธนวณิก 2498) พรรณนาว่าความรักของแม่นั้นไม่มีขอบเขตและไม่มีเงื่อนไข กว้างใหญ่กว่าท้องฟ้าและทะเล เพลง เรียงความวันแม่ (กลุ่มนักเรียนจากบ้านมหาเมฆสำหรับเด็กชายและจากบ้านราชวิถีสำหรับเด็กหญิง 2556) กล่าวถึงการสูญเสียแม่ โดยเล่าถึงเด็กหญิงในโรงเรียนที่ไม่มีแม่และโหยหาความรักจากแม่ที่เธอไม่เคยรู้จักเมื่อต้องเขียนเรียงความวันแม่นอกจากนั้น ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกให้แน่นแฟ้นในระดับประเทศ บริษัทเอกชนก็มีบทบาทสำคัญในโครงการสร้างอุดมการณ์นี้เช่นกัน โดยการผลิตโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับวันแม่ บริษัทสามารถทั้งขายสินค้า แนวคิด และอารมณ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายคือแม่และลูกทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่างเช่น เนสท์เล่ ประเทศไทย (2559) ที่ผลิตโฆษณาแสดงให้เห็นว่าแม่คือ “ผู้สนับสนุน” ช่วยเหลือลูกสาวตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งแต่งงาน ซีพี (2558) บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ของไทย เผยแพร่โฆษณาที่เล่าถึงวัยรุ่นหญิงที่หนีออกจากบ้านหลังมีปัญหากับแม่ และพบว่าแม่สั่งอาหารข้างทางไว้ล่วงหน้าให้ ซึ่งแสดงถึงความห่วงใยของแม่ในทุกรายละเอียดของชีวิตลูกสาว ไทยประกันชีวิต (2562) ได้ปล่อยโฆษณาเปรียบเทียบระหว่างลูกชายที่มีทัศนคติต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ กับแม่ที่เป็นแรงงานซึ่งยังคงยึดติดกับอดีตและมีความห่วงใยในตัวลูก
การสูญเสียแม่ในโฆษณาทำให้ผู้ชมรู้สึกสะเทือนใจ โดยเฉพาะในโฆษณาของ ห้าดาวไก่ทอด ประเทศไทย ซึ่งทีมงานได้ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟิกสร้างแว่นตาเสมือนจริง เพื่อให้ลูกสาวสามารถสื่อสารกับแม่ที่หูหนวกและได้ล่วงลับไปแล้ว 5 ปี (2565) ความตั้งใจของบริษัทนี้แสดงถึงแผนแฝงในการส่งเสริมบทบาทของแม่ในฐานะผู้ทำหน้าที่สืบทอดทางสังคม เพื่อสนับสนุนการสะสมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนต่อไป (Fraser 2017, หน้า 22)
โฆษณาเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในบริษัทเอกชนเท่านั้น แต่ยังพบได้ในแคมเปญการเมืองอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในแคมเปญของ พรรครวมไทยสร้างชาติ (พรรคฝ่ายขวาของไทยที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์ของรัฐบาลทหารเก่า) ในปี 2566 ชื่อแคมเปญ “คุณอยากให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมจริง ๆ หรือ?” ซึ่งมีเป้าหมายโจมตีกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและพรรคก้าวหน้า ในเรื่องนี้ “แม่” (ผู้หญิงในบ้าน) ถูกนำเสนอในฐานะคนที่ยังคงยึดมั่นกับประเพณี ไร้เดียงสาทางการเมือง และมุ่งเน้นแค่ความปลอดภัยและความมั่นคงของครอบครัว ในขณะที่ลูก ๆ กลับถูกนำเสนอเป็นตัวละครฝ่ายตรงข้ามที่มีท่าทีรุนแรง โดยลูกชายเป็นหนุ่มโกรธเกรี้ยวถามเรื่องอาหารอย่างไม่รู้จักคิด และลูกสาวมีงานเสริมเป็นผู้ให้บริการทางเพศและปฏิเสธเมื่อแม่พยายามห้ามเธอ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้สังคมจะพัฒนาไปสู่ความทันสมัย แต่รัฐยังคงเชิดชูบทบาทแม่ในรูปแบบดั้งเดิมว่าเป็นโครงสร้างทางสังคมที่เหมาะสม เพื่อคงคุณธรรมของแม่และให้ลูก ๆ อยู่ในกรอบ

ในขณะที่รัฐไทยส่งเสริมความโหยหาความรักของแม่และสายใยความสัมพันธ์เชิงอารมณ์ ในยุคนโยบายเสรีนิยมใหม่และกึ่งประชาธิปไตย กลับไม่ได้มีการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเพียงพอแก่ประชาชน รัฐไทยให้เพียงเงินอุดหนุนเด็ก (แรกเกิด – 6 ปี) สำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยจำนวน 600 บาทต่อเดือน สวัสดิการเงินสงเคราะห์บุตรจากประกันสังคมจำนวน 800 บาท วันลาคลอด 90 วัน และการลดหย่อนภาษีเท่านั้น นอกจากนั้น รัฐปล่อยให้แม่ต้องดิ้นรนทำงานเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ขณะเดียวกันก็คอยยกย่องว่าแม่ต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อปกป้องลูกของเธอ
ตามที่ Fraser กล่าวว่า “ทุกรูปแบบของสังคมทุนนิยมมีแนวโน้มความขัดแย้งหรือวิกฤตในด้านการสืบทอดทางสังคมอย่างฝังลึก” (Fraser 2017, หน้า 22) ในบริบทของไทย ความขัดแย้งนี้เกิดจากการที่การดูแลและร่างกายของแม่ถูกนำมาใช้เพื่อการเติบโตของตลาดและรัฐ ในขณะที่นโยบายเสรีนิยมใหม่และการขาดการสนับสนุนจากรัฐเพิ่มภาระให้แม่อย่างมหาศาล เพื่อแก้ไขความขัดแย้งนี้ แทนที่จะมองแม่ในฐานะผู้ดูแลบ้าน รัฐและองค์กรเอกชนกลับยกย่องแม่ในฐานะวีรสตรีหรือผู้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการมอบหมายความรับผิดชอบที่ไม่มีสิ้นสุดให้แม่ทำทั้งแบบที่ได้ค่าตอบแทนและไม่ได้ค่าตอบแทน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่รัฐ
ด้วยการทำให้แม่เป็นสิ่งโรแมนติก พวกเขาทำให้ผู้หญิงรับบทบาท “แม่” ในกรอบของระบบทุนนิยม รู้สึกและมองตัวเองในฐานะแม่ และยืนยันโครงสร้างทางสังคมภายในครอบครัวโดยเน้นสายใยความสัมพันธ์เชิงอารมณ์ระหว่างเธอกับลูก งานที่ “ไม่ได้รับค่าตอบแทน” อาจกลายเป็นที่ยอมรับ เมื่อทุกคนเรียกมันว่า “ความรัก”
หมายเหตุ : บทความนี้แปลจากบทความภาษาอังกฤษที่เขียนโดย วริษา สุขกำเนิด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชา Contemporary Social Theory หลักสูตร Development Studies สถาบัน International Institute of Social Sciences มหาวิทยาลัย Erasmus University of Rotterdam
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
Bunleang, S. (1994). Im Un (Warm and Full). Retrieved on 21 October 2024
Butkan, P. (1949). Kaah Nam Nom (Breastmilk Value). Retrieved on 21 October 2024
CP. (2015). Every mouthful is meaningful. Retrieved on 21 October 2024
Federici, S. (1975). Wages against housework. (pp.1)
Fraser, N. (2017). Crisis of Care? On the Social Reproductive Contradictions of Contemporary Capitalism. In Social Reproduction Theory: Remapping Class, Recentering Oppression (pp.21-22).
Gotby, A. (2023). They Call It Love: The Politics of Emotional Life. (pp.2-5)
Nestle Thailand. (2016). My Super Mom. Retrieved on 20 October 2024
Thai Life Insurance. (2019). Mother knows best. Retrieved on 20 October 2024
Thonawanik, S. (1955). Krai Nor (Who is she?). Retrieved on 21 October 2024
AUTHOR
