“ศรัทธาและความหวัง” เป็นสิ่งที่ดูจะจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่มีความฝันยิ่งใหญ่อย่าง “การปฏิวัติ”, “การปลดแอก” หรือการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างถึงราก-แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นของที่ดูไปกันไม่ได้กับการเป็น “Leftist militants” [1] ซึ่งเรียกร้องการ “ไม่เชื่อ” หรือการวิพากษ์และตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ สิ่งที่เป็นผลพวงของปัญหานี้ก็ คือ
1. การเบิร์นเอาท์ เพราะการเป็นฝ่ายซ้ายนั้น นอกจากโจทย์ที่เราต้องทำนั้นยิ่งใหญ่แล้ว เรายังต้องติดตามข่าวสารบ้านเมืองซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นข่าวร้าย (ของฝ่ายประชาธิปไตย)
2. การตกอยู่ในความวิตกกังวล ไม่กล้าลงมือทำ เพราะต้องระแวงสงสัยต่อแนวคิด สภาพการณ์ ตลอดเวลา ในยุคสมัยที่มี “ความรู้” ใหม่ มีหนังสือและบทความใหม่ๆ ออกมาทุกวัน วันที่เรา “รู้มากพอ” มักจะไม่มาถึง
อาการอัมพาตแบบหลังสมัยใหม่ (Postmodern paralysis) เป็นคำที่ Slavoj Zizek ได้เคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์และงานเขียนหลายชิ้น โดยอธิบายว่าประกอบไปด้วย
1. รู้มากเกินไปจนกลายเป็นอัมพาต (ไม่กล้าทำอะไรเลย) เรารู้ว่าระบบทุนนิยมหรือระบบการเมืองนั้น เลวร้ายอย่างไรบ้างมันแย่ตรงไหนยังไงหมด แต่เราทำได้แค่บ่นหรือแชร์มีม (Meme) เสียดสีหรือมุกตลกร้ายต่างๆ
2. วิจารณ์ทุกอย่างแต่ไม่กล้ายึดมั่นในจุดยืนแบบใดเลย ความเชื่อใน “ความสากล” หรือ “ภารกิจยิ่งใหญ่” กลายเป็นสิ่งน่าขัน ทำให้เราหัวเราะเยาะทั้งทุนนิยม ทั้งคอมมิวนิสต์ ทั้งศาสนา แต่ก็ไม่ทำอะไรเลยเช่นกัน
3. ความล้มเหลวของอุดมการณ์แบบเดิมๆ เราไม่เชื่อในรัฐ ไม่เชื่อในสหภาพแรงงาน ไม่เชื่อในการปฏิวัติ และเมื่อทุกอย่างดูราวกับจะถูกทำลายผ่านการล้อเลียนเสียดสี (Irony) และสัมพัทธ์นิยม (Relativism; คุณก็เชื่อในความจริงของคุณ ผมก็เชื่อในความจริงของผม) ทำให้เรากลายเป็น “นักเย้ยหยัน” ที่ไร้พลัง

ผู้อ่านอาจสงสัยขึ้นมาว่า “อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าอย่าคิด แล้วให้ลงมือทำเลยหรอ?” ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะก็อย่างที่ชิเช็คพูดอีกนั่นแหละว่า “Don’t act just think” (อย่าเพิ่งทำ คิดก่อน) โดยในบริบทนี้ คือ ชิเช็คต้องการกลับหัวกลับหางประโยคของ มาร์กซ์ที่บอกว่า “นักปรัชญาได้แต่ตีความโลกไปในแบบต่างๆ แต่ความสำคัญที่แท้จริง คือการเปลี่ยนแปลงมัน” [2]
การบอกว่า “อย่าลงมือทำ ให้คิดดูก่อน” ก็เพื่อที่จะเบรกเหล่านักกิจกรรมที่ชอบรีบรุด “ลงมือทำไปก่อน” โดยขาดการวิเคราะห์วิพากษ์ “สภาพเงื่อนไขในปัจจุบัน” (ซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมาก) ให้ถ่องแท้ก่อน หลายๆ ครั้งการรีบรุดลงมือทำ แม้เป็นไปด้วยเจตนาดี แต่ก็อาจกลับไปเสริมย้ำโครงสร้างอันเป็นรากฐานของปัญหาเดิมได้ หรือไม่ก็ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สลักสำคัญอันใด
“ปัญหาไม่ใช่ว่ามีแต่การพูดโดยไม่มีการลงมือทำ แต่ปัญหากลับตรงกันข้าม — ผู้คนกำลังลงมือทำตลอดเวลา ประท้วง ต่อต้าน ต่อต้านอีก แต่ทำโดยไม่คิด ไม่เคยถามคำถามพื้นฐานเลยว่า: เราต้องการอะไรกันแน่?” [3]
Slavoj Žižek
สลาวอย ชิเช็ค ได้กล่าววิพากษ์ขบวนการ Occupy Wall Street ผ่านการให้สัมภาษณ์และบนเวทีของ OWS เองด้วย [4] และพฤติการณ์แนวนี้สามารถสืบย้อนไปได้ในเหตุการณ์ French 68’ ที่เต็มไปด้วยการกระทำเชิงสัญลักษณ์ เช่น การปิดมหาวิทยาลัย การชุมนุมในโรงงาน แต่จบลงโดยไม่มีโครงสร้างใหม่มาแทนที่จริง ๆ

สิ่งนี้ทำให้เราเห็นภาพของ “สองหุบเหว” ที่ขนาบข้างการเป็นซ้ายในยุคปัจจุบัน ข้างนึงคือการตกลงไปสู่การ “คิดแต่ไม่ทำ” ข้างนึงตกลงไปสู่การ “ทำแต่ไม่คิด” และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวิภาษวิธี (Dialectics) จึงเป็นเสาหลักสำคัญทางความคิดของฝ่ายซ้ายมาโดยตลอด เพราะในที่สุดแล้วข้อเสนอของชิเช็คในฐานะทางออกจากสองสภาวะนี้ คือ การกระทำที่ไร้การการันตี (Act without full guarantees) หรือการก้าวกระโดดแห่งศรัทธา (Leap of faith)
สาเหตุสำคัญของอาการคิดเยอะแต่ไม่ทำหรือกลัวการต้อง “รับผิดชอบ” ที่เกิดขึ้นในฝ่ายเรานั้น ไม่ใช่เรื่องความอ่อนแอทางจิตใจของปัจเจก หากแต่เป็นเพราะพวกเราไม่ได้เชื่อว่าจะมี พระเจ้า/สิ่งเหนือธรรมชาติ/กฏแห่งกรรม (ซึ่งยุติธรรมเสมอ) ใดๆ ที่จะมาคอย “มอบความยุติธรรม” ให้กับสิ่งที่เรากระทำลงไป แม้แต่คนที่เสมือนเป็นไอคอนของฝ่ายซ้ายอย่างเช กูวารา,เลนิน,โฮจิมินห์ ฯลฯ ก็ยังต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามี “พฤติกรรมที่ไม่ซ้าย” อยู่มากมาย แม้พวกเขาจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำความก้าวหน้ามาสู่โลกนี้ในภาพรวมก็ตาม
ดังนั้น เราต้องยอมรับความจริงว่าสภาวะที่เราจะ ‘รู้พร้อม’ นั้นจะไม่มีวันมาถึง ถ้าหากว่าเราเลือกที่จะเลื่อน “การกระทำ” (ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มทำกลุ่มศึกษา ทำสื่อฝ่ายซ้าย จัดตั้งมวลชน ฯลฯ) ของเราออกไปเรื่อยๆ เพราะเรายัง “รู้ไม่พอ” ก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย กลายเป็นติดกับดักทางความคิด อย่างในกรณีของ “Postmodern paralysis” ที่กล่าวไปในข้างต้น

ยิ่งในยุคสมัยนี้ อันเป็นยุคสมัยแห่งมีม ความตลกร้าย ความสิ้นหวัง ภาวะสุญนิยม (Nihilism) และการล้อเลียน สิ่งนึงที่เป็นเสมือน “ภารกิจแห่งยุคสมัย” ของเราเลย คือ กล้าที่จะก้าวเดินออกมาจากมุมมืดบนขอบเวทีละครตลก แล้ว “ยอมเสี่ยง” ที่จะดูตลก ดูโง่ ดูเบียว ทำผิดพลาด ฯลฯ ไม่ใช่เพียงเพื่อการก้าวข้ามความกลัวภายในตนเองเท่านั้น หากแต่เพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรฝ่ายก้าวหน้าในอนาคตที่เกิดแล้ว (หรือยังไม่เกิด) ที่จะได้เรียนรู้จากการลงมือทำอย่างเด็ดเดี่ยว (Act decisively) ของเราในปัจจุบันนี้
ความกล้าที่จะกลายเป็น “มีม” ซะเองนั่นแหละ คือ ความเด็ดเดี่ยวของ “นักปฏิวัติ” ในยุคสมัยของเรา
ในฐานะของสมาชิกองค์กร “ราก” ที่เป้าประสงค์เป็นไปเพื่อสุขภาวะองค์รวม (โดยเฉพาะสุขภาพจิต) ของชาวฝ่ายซ้าย ผมสังเกตว่า “ความเสียสละ” ในการสละเวลาและพลังงานส่วนตัว มาทำภารกิจผลักดันทางสังคมนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่านับถือยิ่งแล้ว แต่ด้วยความที่ “พวกเรา” ก็มักได้อ่านประวัติศาสตร์มามาก ได้ทำการ “วิพากษ์” บุคคลฝ่ายซ้ายในประวัติศาสตร์มามาก สำหรับบางคน ก็เป็นการยากที่จะต้อง “เสียสละ” (ยอมเสี่ยง) ในการ “ลงมือ” บางอย่างที่อาจทำให้เรากลายเป็น คนเหี้ย (Villians) ในประวัติศาสตร์
สภาวะความกลัวนี้เป็นสิ่งที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยชิเช็คได้ตั้งข้อสังเกตจากการเข้าร่วมชุมนุมกับ Occupy Wall Street โดยเรียกว่ามันเป็น “Fetish of process over substance” หรือก็คือการหลงใหลหรือยึดติดกับ “กระบวนการ” มากเกินไป จนลืมเป้าหมายหรือเนื้อหาสาระที่แท้จริงของการเคลื่อนไหว (ซึ่งผมก็มองว่าในการชุมนุมของไทยเราเองก็มีสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
- พูดคุยกันเยอะ ประชุมอย่างเป็นประชาธิปไตยสุดๆ
- เน้นฉันทามติ (Consensus) ทุกอย่างต้องเท่าเทียม
- ใช้เวลาไปกับการตกลงรูปแบบ วิธีการ ปฏิบัติการเล็กๆ
- แต่ไม่มีแผนเปลี่ยนระบบโครงสร้างใหญ่ ไม่มีจินตนาการทางการเมืองว่าจะไปไหน
- ใช้เวลา 3 ชม. ประชุมหาว่าจะกินข้าวร้านไหน
- ไม่ยอมให้ใครเป็นผู้นำ เพราะกลัวการรวมศูนย์อำนาจ
- ต่อต้านการตั้งเป้าหมายเด็ดขาด เพราะกลัวเผด็จการ
เราหมกมุ่นอยู่กับกระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์ เราต้องการให้ดูเหมือนว่ากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ การปรึกษาหารือ การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขั้นตอนที่โปร่งใส โดยไม่สนใจเลยว่าสุดท้ายแล้วจะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ นี่แหละคือการเฟติชกับตัวกระบวนการเอง ซึ่งกลบเกลื่อนคำถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไปโดยสิ้นเชิง
Slavoj Žižek (2014)

เราสามารถทำความเข้าใจได้ว่าพฤติการณ์ของแนวระนาบนิยม (Horizontionlism) หรือแม้แต่ Postmodern paralysis นั้นเป็น Anti-thesis ของซ้ายตะวันตก ที่มีต่อ “สหภาพโซเวียต” และรัฐคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็นต่างๆ ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆ ก็ต้องบอกว่าคนเหล่านี้ (ซึ่งก็คือสหายของพวกเรา) กลัวการ “ทำผิดพลาด” หรือ การต้องตกเป็นจำเลยประวัติศาสตร์ มากกว่ากลัวหมายศาลหรือถูกอุ้มฆ่าเสียอีก ซึ่งความกลัวไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มิหนำซ้ำมันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญด้วยว่าเรา “ให้ความสำคัญกับอะไร”
จากที่ผมได้เขียนมาข้างต้น ก็จะพอเห็นได้ว่า สิ่งที่จะมาแทน “ความหวัง – ศรัทธา” อันจะนำมาสู่ความ “กล้าหาญ – การไม่วิตกจริต” นั้นจะต้องมาจากการทำความเข้าใจว่า ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หรือองค์กรๆ หนึ่งในกงล้อประวัติศาสตร์นี้ สิ่งที่สำเร็จที่สุดที่เราจะทำได้ คือ การคิดถี่ถ้วน ลงมืออย่างเด็ดขาดล้มเหลวให้ได้ดีขึ้น (To fail better) และสิ่งที่จะเป็นซิกเนเจอร์จากผมอันขาดไม่ได้ คือ การตั้งคำถามว่าแล้ว “เรา” พิกัดทางวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ การเป็น “นักคิด-คนไทย-ฝ่ายซ้าย” เราสามารถจะเพิ่มเติมอะไรไปในข้อเสนอนี้ได้บ้าง
แน่นอนว่าก็ คือ เราควร “ฝึกภาวนา” ในฐานะฝ่ายซ้าย โดยประยุกต์เอาเทคนิควิธีการต่างๆ ของการทำสมาธิ ภาวนาที่มีในโซน “อินโดจีน” ของเราตามแต่ความถนัดมาใช้ เพื่อให้ “สร้างพื้นที่” ในหัวของเราที่จำลองสภาวะอันคล้ายกับ “ศรัทธา” (สภาวะของการมีความสามารถที่จะ “ไม่คิด” (Ability to ignore doubts) โดยไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเองว่า “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้นจะไม่ใช่รถไฟอีกคันที่กำลังจะพุ่งมาชนเรา” เพื่อเมื่อ “จำเป็น” ที่จะต้องใช้ความคิดแล้ว สามารถใช้ได้ โดยปราศจากความเหนื่อยล้าจากความฟุ้งซ่านของยุคสมัยแห่งข้อมูล และเมื่อจำเป็นที่จะต้อง “ใช้ใจ” เพื่อ “Act decisively” จะสามารถทำได้อย่างเด็ดขาด โดยยังสามารถคงความกระจ่างไม่ให้ “ความเด็ดขาด” นั้นเป็นเพียงการกระทำของอารมณ์ชั่ววูบ หรือ เป็นไปด้วยอคติทางใจ
“Sometimes doing nothing is the most radical thing — if all your options are co-opted by the system. But once you see a crack, act decisively. That is the true leap.”
เชิงอรรถ
[1] ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าควรแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไร แต่ที่จะหมายถึงมาจากแนวคิดเรื่อง Militant ของ Alain badiou โดย Badiou ใช้คำว่า “militant” เพื่อเรียกผู้ที่มีบทบาทอย่างแข็งขันในทางการเมือง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การเป็นนักรบหรือนักสู้ทางกายภาพ แต่เป็นการยึดมั่นในอุดมการณ์การเมืองอย่างลึกซึ้งและมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างจริงจัง และจะต้องได้รับการสนับสนุนด้วยแนวคิดทางปรัชญา (หมายความว่าเป็นการผสมรวมของการเป็น “สมอง (ความคิด),หัวใจ(อารมณ์ความรู้สึก),ร่างกาย(การลงมือปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง)” ผู้คนเหล่านี้จะเป็นผู้จุดประกายไฟให้เกิด “Events” ทีันำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้
[2] “The philosophers have only interpreted the world, in various ways; the point, however, is to change it.”— Karl Marx, Theses on Feuerbach, Thesis XI.
[3] Why Movement Failed ? ม๊อบไร้แกนนำทำให้เราเห็นอะไร
[4] “The problem is not too much talking and not enough doing. The problem is the opposite: people acting all the time, protesting, resisting, but without thinking. Without asking the basic question: what do we want?”— Slavoj Žižek
Slavoj Žižek, Trouble in Paradise: From the End of History to the End of Capitalism (London: Allen Lane, 2014), หน้า 99.
AUTHOR




