มองเพศ (สภาพ) ผ่านจิตวิเคราะห์: ภววิทยาที่ไม่ใช่ทั้งประดิษฐกรรมทางสังคมและสารัตถนิยมทางชีววิทยา

ผู้เขียน : Étoile

ข้อถกเถียงว่าด้วยคำนิยามของเพศ (sex) เป็นประเด็นปัญหาทางปรัชญาที่สำคัญและซับซ้อนที่สุดประการหนึ่งในประวัติศาสตร์ความคิดสตรีนิยม (feminism) ตั้งแต่ทศวรรษ 1980-90 วงวิชาการหัวก้าวหน้าเริ่มหันไปใช้คำว่า ‘เพศสภาพ’ (gender) แทน ‘เพศ’ ด้วยอิทธิพลของแนวคิดประดิษฐกรรมทางสังคม (social construction) โดยมีงานมหากิจของนักปรัชญาชาวอเมริกัน จูดิธ บัตเลอร์ (Judith Butler) อย่าง Gender Trouble (1990) เป็นหมุดหมายสำคัญ การต่อต้านสารัตถนิยม (essentialism) และเพศทวิลักษณ์  (gender binary) นำไปสู่การหักล้างแนวคิดที่ว่าชีววิทยาคือสิ่งที่กำหนดอัตลักษณ์ของปัจเจก ข้อเสนอปฏิบัติการแสดง (performativity) ของบัตเลอร์ทำให้เพศ เพศสภาพ และเพศวิถี (sexuality) กลายเป็นเรื่องของสัญญะและการสร้างความหมาย (signification) ที่แปรเปลี่ยนไปตามอำนาจและความเฉพาะทางประวัติศาสตร์

การถือกำเนิดของเพศสภาพศึกษา (gender studies) ในฐานะสาขาวิชามีพื้นฐานมาจากวงวิชาการตะวันตกที่กำลังสนใจทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยม (poststructuralism) และสตรีนิยมสายจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic feminism) อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างสตรีนิยมกับจิตวิเคราะห์ก็ไม่ได้ราบรื่นนักโดยเฉพาะเมื่อสำนักแรกมักกล่าวหาสำนักหลังว่าเหยียดผู้หญิง อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษ 1970 นักทฤษฎีสตรีนิยมหลายคนพยายามหยิบยกแนวคิดของนักจิตวิเคราะห์อย่างซีคมุนท์ ฟร็อยท์ (Sigmund Freud) และฌาคส์ ลากอง (Jacques Lacan) มาปรับใช้ดังจะเห็นได้จากงานของจูเลียต มิตเชลล์ (Juliet Mitchell) ในอังกฤษ โชชานา เฟลด์แมน (Shoshana Feldman) ในสหรัฐอเมริกา ลูซ อิริกาเรย์ (Luce Irigaray) เอแลง ซิกซู (Hélène Cixous) และฌูเลีย คริสเตวา (Julia Kristeva) ในโลกภาษาฝรั่งเศส แนวคิดสำคัญที่นักคิดเหล่านี้ต่างปะมือด้วยคือความแตกต่างทางเพศ (sexual difference) ซึ่งผู้เขียนจะอธิบายในส่วนถัดไป

เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษ 1980 เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในระดับวาทกรรมจาก ‘เพศ’ ไปสู่ ‘เพศสภาพ’ อาทิงานชิ้นสำคัญของเทเรซา เดอ ลอเรติส (Teresa de Lauretis) ผู้คิดค้นคำว่า ‘ทฤษฎีเควียร์’ (queer theory) อย่าง Technologies of Gender (1987) ซึ่งเสนอว่า “ทฤษฎีเพศสภาพสายสตรีนิยม […] ส่อเค้าความเข้าใจองค์ประธาน (subject) แบบทวีทบ (multiple) มากกว่าแบบแบ่งแยกแตกร้าว (divided)” [1] ตามกรอบทฤษฎีจิตวิเคราะห์ มุมมองนี้สอดคล้องกับความพยายามต่อต้านเพศทวิลักษณ์ อาจกล่าวได้ว่า งานศึกษาสตรีนิยมและเพศสภาพตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมาวางอยู่บนกระบวนทัศน์ดังกล่าวเป็นหลัก ทุกวันนี้ วาทกรรมการเมืองเรื่องเพศโดยเฉพาะในบริบทของสิ่งที่หลายคนเรียกว่าสงครามวัฒนธรรม (culture wars) ประกอบไปด้วยข้อถกเถียงเพียงสองชุดใหญ่ ๆ ระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายหัวก้าวหน้า

สำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยม คำนิยามเพศ/เพศสภาพ นั้นเรียบง่าย พวกเขาเชื่อในสารัตถนิยมทางชีววิทยาที่มองว่า โลกนี้มีเพียงเพศชายและเพศหญิง ส่วนฝ่ายหัวก้าวหน้ามักจะแยกแยะระหว่างเพศกับเพศสภาพโดยอ้างว่าอย่างแรกหมายถึงเพศกำเนิดในทางธรรมชาติ (biological sex) ซึ่งประกอบไปด้วยเพศชาย เพศหญิง และเพศกำกวม (intersex) ในขณะที่เพศสภาพเป็นเพียงประดิษฐกรรมทางสังคมที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดังนั้นคนที่เกิดมาเป็นเพศหนึ่ง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีเพศสภาพตรงกับเพศนั้น ๆ เสมอไป ทั้งนี้ ทฤษฎีเพศสภาพของบัตเลอร์ซับซ้อนกว่านั้น เพราะสำหรับเธอ เพศไม่ได้มาก่อนเพศสภาพ เนื่องจากความเข้าใจเรื่องเพศของมนุษย์ล้วนถูกกำกับโดยเพศสภาพอีกทีแม้ในความรู้ทางชีววิทยา เธอเขียนใน Bodies That Matter (1993) ว่า “‘เพศ’ คือประดิษฐกรรมเชิงความคิดซึ่งถูกบังคับให้กลายเป็นจริงในทางวัตถุ (materialised) ตามกาลเวลา มันไม่ใช่ข้อเท็จจริงอันเรียบง่ายหรือสภาวะอันแน่นิ่งของร่างกาย แต่เป็นกระบวนการที่บรรทัดฐานต่าง ๆ สร้างวัตถุสภาวะให้กับ ‘เพศ’ […] ผ่านการทำซ้ำบรรทัดฐานเหล่านั้นโดยการบังคับ” [2]

เมื่อเพศหลุดพ้นจากเผด็จการชีววิทยา ทวีทบของอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) จึงสยายปีก แม้บัตเลอร์จะไม่ได้เสนอว่า ใคร ๆ ก็สามารถสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองขึ้นมาได้ เนื่องจากเพศสภาพเป็นผลผลิตของสหอัตวิสัย (intersubjectivity) มากกว่าการตัดสินใจของปัจเจกเพียงคนเดียว แต่อิทธิพลของเธอก็ทำให้ความสนใจทางวิชาการโดยกว้างมองเพศผ่านกรอบของขบวนการสร้างความหมายจนคำถามที่ว่า “เพศคืออะไร” ในทางภววิทยา (ontology) ถูกละเลย ดังที่นักปรัชญาและนักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ชาวอเมริกัน โจน คอปเจค (Joan Copjec) วิจารณ์ว่า “ทฤษฎีเพศสภาพ […] ลบล้างเรื่องเพศออกจากเพศ” (removed the sex from sex) [3] แล้วทำให้มันเป็นเพียงส่วนขยาย (predicate) หรือลักษณะรองขององค์ประธาน คอปเจคเป็นหนึ่งในนักทฤษฎีที่เชื่อมั่นในแนวคิดความแตกต่างทางเพศซึ่งในทางจิตวิเคราะห์สายฟร็อยท์-ลากอง (Freudo-Lacanian) ไม่ได้หมายถึงชีววิทยาหรือประดิษฐกรรมทางสังคม (ธรรมชาติหรือวัฒนธรรม) แต่เป็นสภาวะติดตาย (deadlock) หรือความเป็นไปไม่ได้ทางภววิทยา (ontological impossibility) กล่าวคือ จิตวิเคราะห์ลากองมองว่าเพศไม่สามารถถูกลดทอนลงมาสู่การสร้างความหมายเพียงอย่างเดียวได้ คอปเจคเขียนว่า “เพศคือความเป็นไปไม่ได้ของการทำให้ความหมายสมบูรณ์ ไม่ใช่ความหมายที่ไม่สมบูรณ์ (ตามข้อเสนอแนวประวัติศาสตร์นิยม/ทฤษฎีรื้อสร้างของบัตเลอร์)” [4]

ผู้เขียนเชื่อว่า หลายคนอ่านข้อความก่อนหน้านี้แล้วคงจะงงไม่น้อย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะข้อถกเถียงของคอปเจควางอยู่บนฐานคิดจิตวิเคราะห์ลากองซึ่งเดิมทีเข้าใจยาก ยิ่งกว่านั้น  อเล็นกา ซูพานชิช (Alenka Zupančič) นักปรัชญาชาวสโลวีเนียยังกล่าวว่า “ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเพศวิถีคือส่วนที่เน้นการสันนิษฐาน (หรือ “มีความเป็นปรัชญา”) มากที่สุดในทฤษฎีจิตวิเคราะห์” [5] เพื่อให้เข้าใจบริบทของเพศในทางจิตวิเคราะห์ ผู้เขียนจะอธิบายถึงญาณวิทยา (epistemology) ของลากองโดยสังเขปซึ่งประกอบไปด้วยสามระเบียบ (registers/orders) ได้แก่ ความจริง ระเบียบสัญลักษณ์ และระเบียบจินตนาการ (Real, Symbolic, Imaginary หรือเรียกสั้น ๆ ว่า RSI) เราสามารถนิยามอย่างหยาบ ๆ ได้ว่าระเบียบสัญลักษณ์หมายถึงภาษา กฎระเบียบ และการขัดเกลาทางสังคม ระเบียบจินตนาการหมายถึงภาพลวงตาแห่งความสมดุลและความสอดคล้องของสังคม ส่วนความจริงคือสิ่งที่มิอาจมีภาพแทน เป็นความเปล่าดายอันชอกช้ำ (traumatic void) ซึ่งต่อต้านการกลายเป็นสัญลักษณ์ (symbolisation) โดยสัมบูรณ์ ทั้งนี้ ความจริงไม่ได้หมายถึงความเป็นจริง (reality) กลับกันมันคือความปั่นป่วนขัดแย้งต่าง ๆ ที่ความเป็นจริงต้องกดทับเอาไว้เพื่อให้ตนเองดูจริงแท้ บนพื้นฐานนี้ ทฤษฎีเพศสภาพจึงสนใจเพียงแต่ระเบียบสัญลักษณ์กับระเบียบจินตนาการโดยละเลยความจริงอันเป็นช่องว่างในการเป็นหรือสัตตะ (being) ของมนุษย์ทุกเพศ

สามระเบียบของลากองผูกติดกันเสมือนเงื่อนบอร์โรมีน (Borromean knot)

สำหรับนักจิตวิเคราะห์สายลากอง อัตลักษณ์ทางเพศต่าง ๆ คือการตอบสนองหรือการรับมือกับความขัดแย้งในระดับภววิทยาดังกล่าว โดยองค์ประธานของจิตวิเคราะห์ไม่ใช่ผลผลิตของวาทกรรมล้วน ๆ ตามมโนทัศน์แบบฟูโกต์ (Foucauldian) แต่เป็นองค์ประธานผู้แตกร้าว (split subject) เนื่องจากการตอน (castration) ผ่านการเข้าสู่ภาษาซึ่งทำให้เกิดความขาดพร่อง (lack) รอยร้าวในตัวองค์ประธานไม่ได้หมายถึงการทำงานของจิตไร้สำนึก (the unconscious) เพียงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความแตกต่างทางเพศเพราะองค์ประธานถูกทำให้มีเพศ (sexed) เสมอ ความล้มเหลวของภาษาคือความขัดแย้งในตัวเองที่นิยามเพศ เพศจึงหมายถึงความไม่สมบูรณ์เชิงโครงสร้างของภาษา ความแตกต่างทางเพศดำเนินการในระดับนี้ มันไม่ใช่ความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์ต่าง ๆ เหมือนกับเรื่องเชื้อชาติ แต่เป็นความแตกต่างหนึ่งเดียว​ (singular) ในความจริงที่ไม่สามารถถูกรื้อสร้าง (undeconstructable) ซูพานชิชจึงเขียนว่า “เพศวิถีของมนุษย์คือข้อความแทนที่รูปสัญญะที่ขาดหาย” เพศจึงเป็นเรื่องยุ่งเหยิง (messy) เนื่องจากมันคือ “การพยายามประดิษฐ์คิดค้นตรรกะ ณ ทางตันของตรรกะเช่นนั้น” [6]

ความแตกต่างทางเพศไม่ใช่คู่ตรงข้ามที่ส่งเสริมหรือนิยามกันและกัน (complementarity) อาทิ คำอธิบายความรักของอาริสโตพาแนส (Aristophanes) แต่เกี่ยวเนื่องกับวิถีทางของการแตกร้าวในตัวองค์ประธาน ความแตกต่างทางเพศจึงเป็นคำถามว่าด้วยตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ (symbolic positions) ซึ่งยึดโยงกับการตอนข้างต้น ลากองฉายภาพแนวคิดนี้ด้วยสูตรการเข้าสู่เพศ (formulae of sexuation) อันประกอบไปด้วยฝ่ายชาย (masculine) และฝ่ายหญิง (feminine) ที่ไม่ได้ถูกกำหนดโดยชีววิทยาแต่ถูกนิยามผ่านความสัมพันธ์ต่อลึงค์ (the phallus) ซึ่งสำหรับลากองไม่ได้หมายถึงอวัยวะเพศชายจริง ๆ แต่เป็นรูปสัญญะที่บ่งบอกถึงความขาดพร่องมากกว่า โดยที่ตำแหน่งทางเพศทั้งสองหาได้มีความสัมพันธ์ระหว่างกันเลย นี่เป็นเหตุผลที่ลากองกล่าวว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศ” (there is no sexual relation หรือ il n’y a pas de rapport sexuel)

สูตรการเข้าสู่เพศ (formulae of sexuation) ของฌาคส์ ลากอง (Jacques Lacan)จากหนังสือ On Feminine Sexuality the Limits of Love and Knowledge: The Seminar of Jacques Lacan, Book XX Encore หน้า 78

ในตารางนี้ ฝ่ายชายจะอยู่ทางด้านซ้ายส่วนฝ่ายหญิงอยู่ด้านขวาโดยลากองเขียนประพจน์ไว้ด้านละสองข้อ รวมกันเป็นสี่ประพจน์ซึ่งประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ทางตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้ ∀ (universal quantifier) หมายถึง ทุก ๆ; ∃ (existential quantifier) หมายถึงบาง; Φ (phi) หมายถึงฟังก์ชั่นลึงค์ (phallic function) หรือการตอน; ส่วนขีดข้างบนสัญลักษณ์ต่าง ๆ แปลว่าไม่ เราจึงสามารถแปลความประพจน์แต่ละข้อได้ดังนี้

มีอย่างน้อยหนึ่ง x ที่ไม่ยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์ไม่มี x ใด ๆ ที่ไม่ยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์
ทุก ๆ x ยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์ไม่ใช่ทุก x ยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์

ในแง่นี้ ชายกับหญิงสำหรับลากองจึงขึ้นอยู่ความสัมพันธ์ต่อฟังก์ชั่นลึงค์ ไม่ใช่อวัยวะเพศหรือโครโมโซม เมื่ออ่านประพจน์ข้างต้นแล้วก็อาจฟังดูย้อนแย้งกันเอง ทุก ๆ x จะยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์ได้ยังไงถ้ามีอย่างน้อยหนึ่ง x ที่ไม่ยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์? แต่นี่แหละคือหน้าที่ของมัน แต่ละด้านของตารางกำลังอธิบายถึงทางตันคนละรูปแบบ

คอปเจคเปรียบเทียบสูตรการเข้าสู่เพศของลากองกับความขัดแย้งของเหตุผลของคานท์ (Kant’s antinomies) ใน Critique of Pure Reason (1781) ซึ่งประกอบไปด้วยความขัดแย้งเชิงคณิตศาสตร์ (mathematical) และความขัดแย้งเชิงพลวัต (dynamical) โดยคอปเจคอธิบายว่าอย่างแรกตรงกับฝ่ายหญิงและอย่างหลังตรงกับฝ่ายชาย ความขัดแย้งเชิงคณิตศาสตร์คือสภาวะ “ไม่ใช่ทั้งหมด” (not-all หรือ pas-tout) ที่เกิดจากความพยายามนึกภาพ “โลก” ซึ่งหมายถึงผลรวมทางคณิตศาสตร์ของปรากฏการณ์ (phenomena) ทั้งหมดและองค์รวมของการสังเคราะห์ปรากฏการณ์เหล่านั้น ความพยายามนี้นำมาซึ่งสองประพจน์ที่ขัดแย้งกัน ได้แก่ ข้อเสนอ (thesis): โลกมีจุดเริ่มต้นทางเวลาและขีดจำกัดทางพื้นที่ และข้อขัดแย้ง (antithesis): โลกไม่มีจุดเริ่มต้นและขีดจำกัดทางพื้นที่ แต่เป็นอนันต์ทั้งในทางพื้นที่และเวลา หากเราเชื่อว่าโลกมีอยู่จริง เราก็ต้องเลือกระหว่างหนึ่งในสองประพจน์นี้ ดังนั้น คานท์จึงแก้ไขความขัดแย้งด้วยการโต้เถียงว่า โลกไม่สามารถมีอยู่จริงซึ่งทำให้ประพจน์ทั้งสองกลายเป็นเท็จทั้งคู่ นี่คือพื้นฐานที่ลากองประกาศว่า “ผู้หญิงไม่มีอยู่จริง” (The Woman does not exist หรือ La femme n’existe pas) ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงในฐานะปัจเจกไม่มีอยู่จริง แต่หมายถึงผู้หญิงสากล (The Woman หรือ universal Woman) ที่มิอาจประกอบสร้างขึ้นได้ แต่ในขณะที่บัตเลอร์ปฏิเสธความเป็นสากลของเพศ(หญิง)บนพื้นฐานของความจำเพาะทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ การบอกว่า “ผู้หญิงไม่มีอยู่จริง” ของลากองวางอยู่บนขีดกำจัดภายในตนเองของเหตุผลซึ่งไม่อาจยืนยันหรือปฏิเสธการมีอยู่ของผู้หญิงได้ ในแง่นี้ ลากองจึงรักษาความเป็นไปได้ของเอนจอยเมนต์แบบหญิง (feminine enjoyment/jouissance) ที่อยู่นอกเหนือระเบียบสัญลักษณ์ สำหรับลากอง “ผู้หญิงไม่ใช่ทั้งหมด” (The Woman is not all) เพราะว่าไม่ใช่ทุกส่วนของผู้หญิงที่ยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์ ผู้หญิงจึงปรากฏในจุดที่ปราศจากขีดจำกัดในห่วงโซ่ของรูปสัญญะ

ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายชายมีอยู่จริงในสูตรการเข้าสู้เพศของลากองเนื่องด้วยความขัดแย้งเชิงพลวัติอันมีข้อเสนอ: เหตุภาพ (causality) ตามกฎธรรมชาติไม่ใช่เหตุภาพเดียวที่ดำเนินการริเริ่มปรากฏการณ์ของโลก จึงจำเป็นต้องมีเหตุภาพแห่งเสรีภาพมาคำนึงถึงปรากฏการณ์เหล่านี้ด้วย และข้อขัดแย้ง: ไม่มีเสรีภาพอยู่จริง สรรพสิ่งในโลกต่างเกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ แม้ทั้งสองประพจน์จะฟังดูย้อนแย้ง แต่คานท์มองว่า ความขัดแย้งนั้นจะหายไปหากเราก้าวข้ามตรรกะแบบอริสโตเติล (Aristotelian logic) ด้วยหลักการนี้ ลากองจึงกล่าวว่า ประพจน์ทั้งสองในตารางฝ่ายชายเป็นจริงโดยหนึ่ง x ที่ไม่ยอมจำนนต่อฟังก์ชั่นลึงค์คือขีดจำกัดที่มาปิดเซตของเอกภพ (universe) ฝ่ายชายได้ ในขณะที่ขีดจำกัดนี้ไม่ปรากฏในฝ่ายหญิง ขีดจำกัดของเอกภพฝ่ายชายมาจากการลบ (substraction) บางสิ่งออกไป นั่นคือ เสรีภาพในกรณีของคานท์และหนึ่ง x ที่ไม่ถูกตอนในกรณีของลากองซึ่งตรงกับสิ่งที่ฟร็อยท์เรียกว่า บิดาบรรพกาล (primal father) ใน Totem and Taboo (1913) ฝ่ายชายจึงดูเต็มและสมบูรณ์แต่จริง ๆ แล้วขาดพร่อง

จะเห็นได้ว่าแนวคิดความแตกต่างทางเพศของลากองไม่ได้ตั้งอยู่บนธรรมชาติหรือวัฒนธรรม แต่เป็นการตอบสนองต่อปัญหาทางภววิทยาสองแบบซึ่งลากองบรรยายด้วยประพจน์ทางตรรกะ หลักใหญ่ใจความคือความไม่สมเหตุสมผลของเพศและความไม่มั่นคงของอัตลักษณ์ทางเพศที่วนอยู่รอบความจริงอันเป็นช่องว่างในตัวองค์ประธานซึ่งไม่มีวันเติมเต็ม อัตลักษณ์ทางเพศเชิงบวกใด ๆ จึงล้มเหลวดังที่สลาวอย ชิเชค (Slavoj Žižek) ให้ความสำคัญกับเครื่องหมายบวกใน LGBTQIAN+ มากกว่าตัวอักษรย่อแต่ละตัว เมื่อเพศคือโครงสร้างสำคัญในอัตวิสัยของปัจเจกผู้ไม่อาจถูกลดทอนสู่วาทกรรม เพศจึงเป็นมากกว่าการสร้างความหมายของตัวมันเองและข้อปฏิบัติทางเพศ (sexual practices) ต่าง ๆ ที่ผันแปรตามความสัมพันธ์ทางอำนาจ

แม้ว่าบทความนี้จะกะทัดรัดแต่มันคงอ่านไม่ง่ายนักโดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานวิชาจิตวิเคราะห์ ทว่าการท้าทายทฤษฎีเพศสภาพและอิทธิพลของบัตเลอร์ในไทยที่ไม่ได้มาจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังมีเพียงหยิบมือ ข้อถกเถียงแนวจิตวิเคราะห์ลากองของบทความนี้คือความพยายามท้าทายนั้น ต้องขอออกตัวก่อนว่าจริง ๆ แล้วผู้เขียนก็ชื่นชมและชื่นชอบบัตเลอร์ แต่กระบวนทัศน์แบบประดิษฐกรรมทางสังคมครอบงำการศึกษาเรื่องเพศมานานมากแล้วและอาจกำลังถึงจุดอิ่มตัวหรือแม้กระทั่งทางตัน ผู้เขียนจึงหวังว่าบทความนี้จะสามารถริเริ่มบทสนทนาหรือข้อถกเถียงเกี่ยวกับทิศทางและอนาคตของสภาพศึกษาในไทยได้ไม่มากก็น้อย

บทความชิ้นนี้นำเสนอข้อถกเถียงของโจน คอปเจคใน Sex and the Euthanasia of Reason (บทที่ 8 ในหนังสือ Read My Desire: Lacan Against the Historicists) และ What IS Sex? ของอเล็นกา ซูพานชิชเป็นหลัก เพื่อความละเอียดถี่ถ้วน ผู้เขียนแนะนำให้ผู้อ่านที่สนใจกลับไปอ่านตัวบทต้นฉบับเหล่านี้ และถ้าอยากศึกษาต่อก็สามารถตามไปอ่านงานเขียนชิ้นอื่น ๆ ดังต่อไปนี้ได้โดยเฉพาะในประเด็นที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงมากนัก อาทิ การข้ามเพศ (transgender) ฐานคิดแบบยึดลึงค์เป็นศูนย์กลาง (phallogocentrism) แอนทิกะนี (Antigone) และอื่น ๆ ​​

Brousse, M. (2022). The Feminine: A Mode of Jouissance. Independently Published.

Butler, J., Laclau, E., & Žižek, S. (2000). Contingency, Hegemony, Universality: Contemporary Dialogues on the Left. Verso.

Carlson, S. T. (2010). Transgender Subjectivity and the Logic of Sexual Difference. Differences, 21(2), 46–72. https://doi.org/10.1215/10407391-2010-003

Copjec, J. (2012). The Sexual Compact. Angelaki, 17(2), 31–48. https://doi.org/10.1080/0969725x.2012.701047

Davis, O., & Dean, T. (2022). Hatred of Sex. U of Nebraska Press.

Dean, T. (2003). Lacan and queer theory. In The Cambridge Companion to Lacan (pp. 238–252). Cambridge University Press.

Felman, S. (1993). What Does a Woman Want?: Reading and Sexual Difference. JHU Press.

Gherovici, P. (2011). Please Select Your Gender: From the Invention of Hysteria to the Democratizing of Transgenderism. Routledge.

Gherovici, P. (2017). Transgender Psychoanalysis: A Lacanian Perspective on Sexual Difference. Taylor & Francis.

Grosz, E. A. (1990). Jacques Lacan: A Feminist Introduction. Psychology Press.

Irigaray, L. (1985). Speculum of the Other Woman. Cornell University Press.

Kristeva, J. (2024). Powers of Horror: An Essay on Abjection. Columbia University Press.

Lacan, J. (1999). On Feminine Sexuality the Limits of Love and Knowledge: The Seminar Of Jacques Lacan Book XX Encore. W. W. Norton & Company.

Mitchell, J. (1974). Psychoanalysis and Feminism. Pantheon.

Rousselle, D. (2020). Gender, Sexuality and Subjectivity: A Lacanian Perspective on Identity, Language, and Queer Theory. Routledge.

Ruti, M. (2017). The Ethics of Opting Out: Queer Theory’s Defiant Subjects. Columbia University Press.

Stryker, S. (2017). Transgender, Queer Theory, and Psychoanalysis. In Clinical Encounters in Sexuality: Psychoanalytic Practice and Queer Theory (pp. 419–426). Punctum Books.

Žižek, S. (2000). The Ticklish Subject: The Absent Centre of Political Ontology. Verso.

Žižek, S. (2019). Sex and the Failed Absolute. Bloomsbury Publishing.Zupančič, A. (2023). Let Them Rot: Antigone’s Parallax. Fordham Univ Press.

บรรณานุกรม

[1] de Lauretis, T. (1987). Technologies of Gender: Essays on Theory, Film, and Fiction. Indiana University Press. หน้า x

[2] Butler, J. (1993). Bodies that Matter: On the Discursive Limits of “sex.” Psychology Press. หน้า 1-2

[3] Copjec, J. (2012). The Sexual Compact. Angelaki, 17(2).  หน้า 32

[4] Copjec, J. (2015). Read My Desire: Lacan Against the Historicists. Verso Books. หน้า 206

[5] Zupancic, A. (2017). What IS Sex? MIT Press. หน้า 35-36

[6] Zupancic, A. (2017). What IS Sex? MIT Press. หน้า 42-43


AUTHOR

HolisticLeftistTool Avatar

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *