‘มนุษย์กิ้งก่า’ เป็นหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ที่โด่งดังไม่น้อยไปกว่า ‘อิลลูมินาติ (Illuminati)’ เรื่องเล่าว่าด้วยที่มาของมนุษย์กิ้งก่ามีอยู่หลายแนว แต่แนวที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมมักเล่าถึงเมื่อครั้งก่อร่างสร้างอารยธรรมมนุษย์ที่อาณาจักรสุเมเรี่ยน มีเหล่ามนุษย์ต่างดาวเดินทางมายังโลกโดยมีเจตนา คือการขุดแร่ธาตุชนิดหนึ่งจากโลกมนุษย์
ต่อมา พวกมนุษย์ต่างดาวได้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา 2 จำพวก ได้แก่ มนุษย์ และ มนุษย์กิ้งก่า โดยพวกมนุษย์กิ้งก่ามีหน้าที่กำกับและควบคุมมนุษย์ให้ขุดเหมืองแร่ตามคำสั่งของมนุษย์ต่างดาวพวกนั้น ในเวลาต่อมา มนุษย์ได้บูชามนุษย์ต่างดาวเป็น ‘เทพเจ้า’ ซึ่งเป็นที่มาของความเชื่อในเทพเจ้าของชาวสุเมเรี่ยนโบราณ โดยอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับการเกิดขึ้นของเทพเจ้ากรีก-โรมัน เทพเจ้าอียิปต์ เทพเจ้าของชาวอเมริกาใต้ ฯลฯ
ส่วนมนุษย์กิ้งก่าก็มิใช่ธรรมดา เพราะพวกมันสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ทั่วไปได้ด้วย โดยพวกมันจะดูดเลือดมนุษย์เป็นพลังงานในการพรางตัว แต่ถ้าไม่ได้ดูดเลือดนานๆ ลิ้นของมันจะเริ่มแตกออกเป็น 2 แฉก และมีนัย์ตาแบบกิ้งก่า ซึ่งมีการสันนิษฐานว่า แท้จริงแล้วเหล่า ‘ชนชั้นนำ’ ของโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ นายทุน ดาราฮอลลีวู้ด นักการเมือง ฯลฯ ต่างเป็นมนุษย์กิ้งก่าที่จำแลงมาในคราบมนุษย์ ซึ่งถ้าเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในโซนเอเชียเราจะผูกโยงไปว่า จริงๆ แล้ว มนุษย์กิ้งก่ากับพญานาคคือสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกัน ซึ่งเป็นที่มาของอารยธรรม สถาปัตยกรรม องค์ความรู้ล้ำๆ แบบที่มนุษย์โลกโบราณผิวขาวไม่สามารถคิดได้ ต้องขอบคุณเหล่ามนุษย์กิ้งก่า (และมนุษย์ต่างดาว) มา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนขอไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์กิ้งก่าไปมากกว่านี้ แต่สำหรับท่านที่สนใจ สามารถติดตามต่อกันได้ในเพจ แชแนล แอคเคาท์ เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ มนุษย์ต่างดาวต่างๆ
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ จริงๆ แล้วไม่ใช่คำถามที่ว่า “มนุษย์กิ้งก่ามีจริงหรือไม่ ?” แต่เป็น “ทำไมเรื่องเล่าเหล่านี้ถึงเป็นที่นิยมและถูกเอามาทำเป็นคอนเทนต์ ?” โดยคำตอบที่ผู้เขียนขอนำเสนอ คือ เพราะมันเป็นเรื่อง ‘เหนือจริง’ (surreal) นั่นเอง
เรื่อง ‘เหนือจริง’ ต่างกับเรื่อง ‘แฟนตาซี’ ตรงที่เรื่องแฟนตาซีเป็นเรื่องที่ถูกเล่าบนความเข้าใจว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในสถานที่ ฉาก และบุคคลที่สมมติขึ้น เหมือนแฮรี่ พอตเตอร์ ในโรงเรียนฮอกวอตส์ ขณะที่เรื่องเหนือจริง คือเรื่องที่ “อาจจะจริงหรือไม่ก็ได้” โดยมักมีสถานที่ ฉาก และบุคคลที่ดูเหมือนจริง แต่กลับมีสถานการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในบ้านเรา เรื่องเหนือจริงคงเป็น ‘เรื่องเล่าผีๆ’ ที่สถานะของความจริงในเรื่องเล่าอยู่ก้ำกึ่งระหว่าง ‘เรื่องจริง’ และ ‘เรื่องแต่ง’
โดยสถานะความเหลื่อมซ้อนนี้ มีนัยว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของพวกเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อม อย่างกรณีเรื่องผี ผู้ที่เชื่อก็มีความเป็นไปได้ว่าในชีวิตของพวกเขาอาจโดน ‘ผีหลอก’ เข้าสักวัน หรือไม่ ถ้าพวกเขาตายแล้ว เขาก็จะกลายเป็นผี มันจึงเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การพูดถึงมากกว่าเรื่องแฟนตาซีล้วนๆ
ในกรณีของมนุษย์กิ้งก่า มนุษย์ต่างดาว และองค์กรอิลลูมินาติ นี่คือความพยายามในการอธิบาย ‘ความจริง’ ที่รู้สึกได้ว่ามันเกิดขึ้น แม้ไม่ได้เข้าใจว่าภาพทั้งหมดของความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ เปรียบเทียบได้กับการที่ชาวนอร์สอธิบายว่า ‘ฟ้าผ่า’ เกิดจากเทพธอร์ (Thor) เหวี่ยงค้อน ปรากฏการณ์ของ “ฟ้าผ่า” เกิดขึ้นจริงๆ ส่วนจะเป็นเพราะเทพธอร์หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในกรณีนี้ หากเราตามอ่านทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับมนุษย์กิ้งก่า เราจะพบว่ามีการอ้างอิงถึงบรรษัทข้ามชาติจำนวนมาก ที่แท้จริงแล้วมีเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นเป็นคนกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ซึ่งบรรษัทเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก นี่ไม่ใช่เรื่องแฟนตาซีไปเสียทีเดียว หากแต่มีมูลความจริงอยู่
ส่วนเหตุผลว่าทำไมต้องอธิบายในรูปแบบเหนือจริงนี้ ผู้เขียนคาดว่าเรื่องเล่ามนุษย์กิ้งก่าน่าจะมีที่มาคล้ายคลึงกับพล็อตภาพยนตร์ They Live (1988) หรือในชื่อไทย “ไม่ใช่ผี ไม่ใช่คน” ที่เล่าถึงมนุษย์ต่างดาวจำแลงกายเป็นมนุษย์อีลีทที่คอยควบคุมระบบการขูดรีดมนุษย์โลกให้เกิดกำไรสูงสุดแก่พวกมัน หนังเรื่องนี้สื่อทำนองว่า ถึงแม้เราจะรู้ความจริงว่าเรากำลังถูกกดขี่ในระบบบางอย่าง แต่ผู้กดขี่ก็ยิ่งใหญ่ (เช่น เป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์สูงกว่า มีเทคโนโลยีสูงกว่า ฯลฯ) เกินกว่าที่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเมคเซนส์ที่เราจะถูกกดขี่ขูดรีดกันต่อไป มิหนำซ้ำการที่เราคิดว่า อย่างน้อยเราก็ไม่ถูกปกครองโดยมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน หากแต่กำลังรับใช้ ‘มนุษย์ต่างดาว-มนุษย์กิ้งก่า’ ที่เป็นเผ่าพันธุ์ล้ำยุค ก็ดูไม่เสียเกียรติสักเท่าไร
พล็อตเรื่องแบบนี้ก็ถือว่าไม่ใช่สิ่งใหม่ในสังคมมนุษย์ เพราะในสมัยก่อน เหล่าเจ้าผู้ปกครองก็มักสมอ้างตัวเองว่าเป็น ‘โอรสสวรรค์-บุตรของพระเจ้า’ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองกันทั้งนั้น หรือเหตุการณ์เมื่อครั้ง “เอร์นัน กอร์เตส” (Hernando Cortés) พากองกำลังชาวสเปนเข้าบุกรุกอาณาจักรแอซแท็ก (ประเทศเม็กซิโกในปุจจุบัน) พวกเขาก็เคยถูกชาวแอซแท็กเข้าใจว่ากองกำลังคนขาว คือ ‘เทพเจ้า’ คล้ายคลึงกัน
พล็อตเรื่องแบบนี้ก็ถือว่าไม่ใช่สิ่งใหม่ในสังคมมนุษย์ เพราะในสมัยก่อน เหล่าเจ้าผู้ปกครองก็มักสมอ้างตัวเองว่าเป็น ‘โอรสสวรรค์-บุตรของพระเจ้า’ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองกันทั้งนั้น หรือเหตุการณ์เมื่อครั้ง “เอร์นัน กอร์เตส” (Hernando Cortés) พากองกำลังชาวสเปนเข้าบุกรุกอาณาจักรแอซแท็ก (ประเทศเม็กซิโกในปุจจุบัน) พวกเขาก็เคยถูกชาวแอซแท็กเข้าใจว่ากองกำลังคนขาว คือ ‘เทพเจ้า’ คล้ายคลึงกัน