Why Movement Failed ? ม๊อบไร้แกนนำทำให้เราเห็นอะไร

“ม๊อบไร้แกนนำ”

เป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติที่พวกเราชาวไทยได้ประสบเมื่อครั้งการประท้วงใหญ่ ในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2563 ซึ่งวิถีในการประท้วงเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับขบวนการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่เป็น “แนวทางที่เป็นที่นิยมที่สุด” ในการประท้วงทั่วโลกในปี 2010 – 2020 โดยในบทความนี้จะยังไม่ได้กล่าวถึงกรณีของประเทศไทยเรามากนัก ซึ่งจะมีมาเพิ่มเติมในบทความต่อ ๆ ไปครับ

 ภาพโดย Supanut Arunoprayote

ระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ (Democratic centralism)

เป็นแนวคิดที่ว่ามุมมองและแนวปฏิบัติของพรรค (หรือองค์กร) จะถูกนำเข้าที่ประชุมเพื่อโหวตแบบประชาธิปไตย และเมื่อได้มติเสียงส่วนใหญ่ตัดสินออกมาแล้ว มตินั้นจะถูกบังคับใช้อย่างเป็นลำดับขั้น (hierarchically) ที่มีสายบังคับบัญชาชัดเจน วิธีการจัดการองค์กรแบบนี้เป็นแนวทางหลักของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากการจัดตั้งองค์กรและการปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จของพรรคบอลเชวิค (Bolsheviks) จนเกิดเป็นสหภาพโซเวียตขึ้นมา 

แต่ในเวลาต่อมาฝ่ายซ้ายในโลกตะวันตกก็มองว่าสุดท้ายแล้วแนวทางแบบนี้กลับนำไปสู่ระบบอำนาจนิยม (authoritarianism) ไม่ต่างกับระบบเผด็จการรูปแบบเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเกิดแนวคิด “ซ้ายใหม่” ขึ้นมาต่อต้านแนวทางแบบนี้

การเคลื่อนไหวแนวระนาบนิยม (Horizontalism)

เป็นศัพท์ที่ถูกคิดขึ้นเพื่อใช้ในการอธิบายการประท้วงในอาร์เจนติน่าเมื่อปี 2001 แต่แนวคิดนี้สามารถสืบย้อนไปถึงพวก ซ้ายใหม่ (New Left) ในปี 1968 ซึ่งขบวนการต่อสู้เรื่องสิทธิพลเมืองและต่อต้านสงครามเวียดนาม โดยแนวคิดนี้จะเป็นการต่อต้านรูปแบบการจัดองค์กรแบบ ซ้ายเก่า (Old Left) (แบบเลนินนิสต์) ที่ให้ความสำคัญกับระบบ “ประชาธิปไตยรวมศูนย์” (Democratic centralism) 

ดังนั้น ‘การเคลื่อนไหวแนวระนาบนิยม’ จึง ไม่มีผู้นำ, ไม่มีการแบ่งลำดับชั้น, สมาชิกแต่ละคนสามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำตามมติส่วนรวมก็ได้เป้าหมายสูงสุดก็ไม่ใช่การยึดอำนาจรัฐ หากแต่เป็นการสร้างพื้นที่ให้เกิดบทสนทนาถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆในทางการเมือง มากกว่า 

การประท้วงในแนวทางนี้ก็จะเห็นได้ใน เหตุการณ์อาหรับสปริงส์, การประท้วงฮ่องกอง (2019), การประท้วงเกซี่พาร์ค (Gezi Park protests) ในตุรกี, การประท้วงบราซิล (2013) และการประท้วงยูโรไมดาน (Euromaidan) ในยูเครน ซึ่งล้วนแล้วแต่จบลงด้วยการขึ้นสู่อำนาจของฝ่ายขวาทั้งสิ้น 

การประท้วงเหล่านี้มีลักษณะร่วมกันได้แก่

  1. การเดินขบวนไปยึดจตุรัสใจกลางเมือง หรือ สถานที่สำคัญอันมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ 
  2. การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่นำไปสู่การผลิตและบริโภคสื่อโซเชียลมีเดีย
  3. การต่อสู้กับตำรวจ 
  4. การทำลายทรัพย์สิน
  5. การปิดถนนและเส้นทางคมนาคม

ท่านผู้อ่านอาจคิดว่าที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องปกติของการประท้วงนี่ ไม่งั้นจะให้มีอะไรอีกล่ะ ? แต่นี่แหละเป็นหลักฐานว่าแนวคิดแบบ ‘การเคลื่อนไหวแนวระนาบนิยม’ นั้นฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมของเรามากแค่ไหน และหากเราพิจารณาว่า

การประท้วงแบบดังกล่าว “ไม่มี” อะไรบ้างซึ่งได้แก่

  1. การลอบสังหารโดยวางแผนไว้ก่อน
  2. การใช้กองกำลังติดอาวุธเข้ายึดสถานที่ราชการ
  3. การสังหารหมู่ 
  4. การนัดหยุดงาน 
  5. การเขียนจดหมาย 
  6. การเข้ายึดปัจจัยการผลิต (Seize the means of production)’ (1)

ซึ่งปัญหาสำคัญของวิธีการประท้วงรูปแบบนี้ก็ คือ การไม่สามารถควบคุมการประท้วงที่พวกเขาก่อขึ้นได้ และ การไม่สามารถเจรจาต่อรอง (Negotiation) กับภาครัฐให้ได้ตามวัตถุประสงค์ได้

การประท้วงของ Free Fare Movement ในเซา เปาโล, บราซิล เมื่อปี 2013 ภาพโดย Gianluca Ramalho Misiti

‘Movimento Passe Livre (Free Fare Movement) ฟรีแฟร์มูฟเม้น เป็นขบวนการที่มีการวางแผนมาอย่างดีและมีข้อเรียกร้องที่ชัดเจนอย่างมาก (คือ การหยุดการขึ้นราคารถโดยสารสาธารณะของเมืองเซา เปาโล) ซึ่งคล้ายคลึงกับการประท้วงยูโรไมดาน ที่เริ่มจากการประท้วงเล็กๆต่อต้านประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานุโควิชผู้ทำการขัดขวาง “ข้อตกลงสหภาพยุโรป-ยูเครน” กลุ่มผู้นำการประท้วงเล็กๆนี้ ได้ทำให้เกิดกระแสการประท้วงครั้งใหญ่ซึ่งพวกเขาไม่สามารถควบคุมได้’ (2) 

แต่ที่น่าสนใจสำหรับกรณีของการประท้วงในบราซิล คือ เจ้าหน้าที่เมือง (เซาเปาโล) ได้เชิญให้แกนนำขบวนการฟรีแฟร์มูฟเม้นมาทำการเจรจ่าต่อรองเรื่องราคารถโดยสารสาธารณะ พวกเขากลับตอบปฏิเสธการเจรจาซึ่งนี่ทำให้เห็นถึงปัญหาที่อยู่ลึกลงไปมากขึ้น นอกจากนี้คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีฝ่ายซ้าย ดิลมา รูสเซฟ (Dilma Roussef) ก็ได้ลดลงจาก 57% เหลือ 30% และต่อมาก็ถูกถอดถอนลงจากตำแหน่งในปี 2016 แผ้วถางทางให้กับประธานาธิบดี แฮร์ บอลโซนาโร (Jair Bolsonaro) ขึ้นสู่อำนาจในปี 2019

ปรากฏการณ์นี้ไปคล้ายกับกรณีการประท้วงในอียิปต์อย่างน่าตกใจ เมื่อเดือนมกราคม ปี 2011 ได้มีการประท้วงต่อต้านการใช้ความรุนแรงของตำรวจที่เกิดขึ้นภายใต้การครองอำนาจเผด็จการอย่างยาวนานของ ฮอสนี มูบารัค (Hosni Mubarak) มีการชุมนุมกันในจตุรัสตาเรียร์ (Tahrir square) และจตุรัสกลางในกรุงไคโร หลังจากมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ฮอสนี มูบารัค ก็ยอมลงจากอำนาจและเปิดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งผลการเลือกตั้ง คือ นายโมฮาเหม็ด มอร์ซี่ (Mohamed Morsi) จากพรรคภราดรภาพมุสลิมชนะการเลือกตั้ง และ พยายามผลักดันรัฐธรรมนูญแบบอิสลาม ทำให้เกิดการประท้วงขึ้นอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2013 ต่อมานายมอร์ซี่ก็ถูกยึดอำนาจโดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเขาเอง คือ นายฟาเตะห์ เอล ซีซิ (Fattah el-Sisi) ที่ต่อมาได้สถานปนาตนขึ้นเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารรูปแบบเดียวกับสมัยของ ฮอสนี มูบารัค 

เบวินส์เสนอว่าสาเหตุที่ขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้ปฏิเสธการเจรจาต่อรองหรือทำข้อตกลงใดๆ เพราะพวกเขากระทำการภายใต้ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงอันตวิทยา (teleological theory of change) ซึ่งมีใจความว่า “ประวัติศาสตร์มีทิศทางโดยธรรมชาติของมันอยู่ และ ทิศทางดังกล่าวจะนำไปสู่ทางที่ดี”

“ผู้คนมากมายในรุ่นของผมคิดว่า แค่เพียงเรา ‘ช่วยผลัก’ ประวัติศาสตร์สักหน่อย มันก็จะไม่ติดขัดและเริ่มเคลื่อนที่ไปในทางที่ถูกต้อง” (3)  เบวินส์ได้กล่าวไว้ 

ซึ่งขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะสามารถจำแนกออกมาได้ดังนี้

  1. การประท้วงและการโดนปราบปรามนำมาสู่กระแสในโซเชียลมีเดีย
  2. กระแสในโซเชียลมีเดียทำให้คนออกมาประท้วงมากขึ้น 
  3. ทำข้อ 1,2 ซ้ำจนกว่าทุกๆคนจะออกมาประท้วง
  4. ??? 
  5. สังคมที่ดีกว่าเดิม

ซึ่งผลที่ตามมา คือ การขึ้นสู่อำนาจของผู้นำฝ่ายขวา สาเหตุเพราะเมื่อเกิดจลาจลความวุ่นวายขึ้น เหล่าผู้นำขบวนการฝ่ายซ้ายที่ถูกครอบงำโดยแนวคิดแนวระนาบนิยม จะปฏิเสธการยึดกุมอำนาจ (แม้ว่าสถานการณ์ คือ อำนาจถูกมอบใส่ในมือพวกเขาก็ตาม) ทำให้กลุ่มฝ่ายขวาที่ไม่ปฏิเสธการมีอำนาจและการใช้ความรุนแรง ได้ทำการฉวยโอกาสเอาอำนาจกลับมายังพวกเขาแทน 

ประเด็นปัญหาของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าวิธีปฏิวัติแบบเลนินนิสต์นั้นน่าพึงพอใจหรือไม่ เพราะมัน “เป็นไปไม่ได้” ในยุคสมัยปัจจุบันแล้ว เพราะปรากฏการณ์ความเสื่อมถอยขององค์กรแบบมีลำดับชั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแค่กับขบวนการฝ่ายซ้าย หากแต่เป็น “เรื่องปกติ” ของสังคมสมัยใหม่ 

แมนเซอร์ โอลสัน (Mancur Olson) ได้อธิบายไว้ในหนังสือ The Logic of collective action ว่า

“องค์กรใดๆจะสามารถคงสภาพการเป็นองค์กรแบบมีลำดับชั้นได้ก็ต่อเมื่อ สามารถเลือกกระจายรางวัลหรือบทลงโทษให้กับสมาชิกโดยขึ้นอยู่กับการยอมปฏิบัติหน้าที่ตามลำดับชั้นนั้นๆ” (4) 

แน่นอนว่าการให้รางวัลหรือบทลงโทษนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องทางการเงินเสมอไป การจำกัดหรืออนุญาตการเข้าใช้สื่อขององค์กรครั้งนึงก็เคยเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญขององค์กรทางการเมืองต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันไม่ว่าใครก็สามารถครอบครองการใช้สื่อได้ ขอเพียงเปิดแอคเคาท์ในโซเชียลมีเดียเท่านั้น และ ถ้าหากเกิดความขัดแย้งภายในองค์กรใดๆเกิดขึ้น พวกเขาก็แค่แยกออกมาตั้งกลุ่มเล็กๆขึ้นใหม่เอง 

อีกประเด็นที่ควรพิจารณา คือ การมองการประท้วงในเลนส์ของ “ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ” ของมนุษย์โดย เบวินส์ได้ยกตัวอย่างประสบการณ์เหล่านี้ว่า 

“มันรู้สึกเหมือนกับว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นในธรรมชาติของเวลา สิ่งนั้นทำให้เกิดรอยแยกบนโครงสร้างของความเป็นจริง … ทุกๆสิ่งเป็นไปได้หมด”

“มัน คือ การหลบหนีจากสภาวะแปลกแยกของชีวิตประจำวัน” 

“ความเชื่อมต่ออันลึกซึ้งไร้ตัวกลางกับมนุษย์อีกคนหนึ่ง”

“ (เธอกลายเป็น) ส่วนหนึ่งของยักษ์, ลูกบอลแห่งความสุขสันต์ ที่กระเพื่อมและเติบโตขึ้นด้วยพลังมวลชนซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นจริง การเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์” 

ประสบการณ์ของการประท้วงนั้นแปลกใหม่และยิ่งใหญ่มากจนบางทีเรากลับลืมว่ามันไม่ใช่เป้าหมายในตัวมันเอง การ “ประท้วงเพื่อประท้วง” ไม่ได้นำไปสู่การบรรลุผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ 

แนวทางแบบแนวระนาบนิยมไม่ใช่ทางออกของปัญหา หากแต่ว่าเป็นกับดัก ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการถกเถียงทางวิชาการ ดังที่นักปฏิวัติชาวอียิปต์ไม่ทราบชื่อท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ 

“ในนิวยอร์ค หรือ ปารีส ถ้าคุณทำองค์กรเคลื่อนไหวแนวระนาบ, ไร้แกนนำ, การลุกฮือแบบหลังอุดมการณ์ (Post-ideological uprising) และมันล้มเหลว คุณอาจได้รับงานเป็นสื่อหรืองานวิชาการทำ แต่ข้างนอกนั่นในโลกความเป็นจริง ถ้าหากการปฏิวัติล้มเหลว เพื่อนทั้งหมดของคุณจะติดคุก ไม่ก็เสียชีวิต” 

โดยสรุปแล้วในบทความนี้ไม่ได้มีการนำเสนอทางออกให้แก้ปัญหาดังกล่าว แต่ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะสามารถเปิดประเด็นปัญหาของการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพื่อที่ในการต่อสู้ครั้งต่อๆไปพวกเราจะทำได้ดีขึ้น มันไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะมีความฝัน แต่จะดีกว่านั้นหากเรามี “คำตอบ” ควบคู่กันไปด้วย 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่

(1,2,3,4) Samantha//Hancox-li//2024.//Why Movements Fail.//https://www.liberalcurrents.com/why-movements-fail/./1/กุมภาพันธ์/2024


AUTHOR

Comrade Sink Avatar

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *